เรอัล มาดริด
( Real Madrid )
website : http://www.realmadrid.com
No. | Name | Type | Join | Out |
---|---|---|---|---|
10 | ลูก้า โมดริช | ผู้เล่น | 2012-08-27 | - |
- | คาร์โล อันเชล็อตติ | โค้ช | 2021-06-01 | - |
8 | โทนี่ โครส | ผู้เล่น | 2014-07-17 | - |
4 | ดาวิด อลาบา | ผู้เล่น | 2021-07-01 | - |
1 | ติโบต์ กูร์กตัวส์ | ผู้เล่น | 2018-08-09 | - |
14 | โฆเซลู | ผู้เล่น | 2023-07-01 | 2024-06-30 |
6 | นาโช่ เฟร์นานเดซ | ผู้เล่น | 2013-07-01 | - |
22 | อันโตนิโอ รูดิเกอร์ | ผู้เล่น | 2022-07-01 | - |
2 | ดาเนียล การ์บาฆัล | ผู้เล่น | 2013-07-01 | - |
25 | เกปา อาร์ริซาบาลาก้า | ผู้เล่น | 2023-08-14 | 2024-06-30 |
17 | ลูกัส บาสเกซ | ผู้เล่น | 2015-07-02 | - |
19 | ดานี่ เซบายอส | ผู้เล่น | 2017-07-13 | - |
7878 | เฆซุส บาเยโฆ่ | ผู้เล่น | 2015-07-31 | - |
23 | แฟร์กล็องด์ เมนดี้ | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
15 | เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ | ผู้เล่น | 2018-07-01 | - |
21 | บราฮิม ดิอาซ | ผู้เล่น | 2019-01-06 | - |
20 | Francisco Garcia | ผู้เล่น | 2023-07-01 | - |
13 | อันดรี่ย์ ลูนิน | ผู้เล่น | 2018-07-01 | - |
3 | เอแดร์ มิลิเตา | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
7 | วินิซิอุส จูเนียร์
| ผู้เล่น | 2018-07-12 | - |
11 | โรดรีโก้ | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
18 | อูเรเลียง ชูอาเมนี่ | ผู้เล่น | 2022-07-01 | - |
12 | เอดูอาร์โด้ กามาแว็งก้า | ผู้เล่น | 2021-08-31 | - |
9891 | เรเนียร์ | ผู้เล่น | 2020-01-20 | - |
5 | จูด เบลลิงแฮม | ผู้เล่น | 2023-07-01 | - |
- | Juanmi Latasa | ผู้เล่น | 2022-07-01 | - |
24 | Arda Guler | ผู้เล่น | 2023-07-06 | - |
- | Rafa Marin | ผู้เล่น | 2023-07-01 | - |
26 | Diego Pineiro | ผู้เล่น | - | - |
32 | Nicolas Paz | ผู้เล่น | - | - |
30 | Fran Gonzalez | ผู้เล่น | - | - |
Tournament | Join | Out |
---|---|---|
World Football Challenge | 2012-07-18 | 2012-08-10 |
Champions Cup | 2019-07-15 | 2019-08-10 |
Audi Cup | 2019-07-29 | 2019-07-31 |
Club Friendlies | 2022-12-31 | 2023-12-30 |
Super Cup | 2024-01-09 | 2024-01-14 |
LaLiga | 2023-08-11 | 2024-05-26 |
Champions League Grp. C | 2023-09-19 | 2023-12-12 |
Copa del Rey | 2023-10-30 | 2024-04-06 |
Champions League Final Stage | 2024-02-12 | 2024-06-01 |
Club Friendlies | 2023-12-31 | 2024-12-30 |
ประวัติ : เรอัล มาดริด
เรอัล มาดริด (Real Madrid) ชื่อเต็ม (Real Madrid Club de Futbol) สมัยนั้นกีฬาฟุตบอลถูกเผยแพร่หลายในเมืองมาดริด โดยมีนักวิชาการและนักเรียนนักศึกษาของโครงการสถาบันการศึกษาเสรี ได้มีการรวมตัวกันขึ้นมาของผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และร่วมกันก่อสร้างสโมสรขึ้นมาว่า ฟุตบอลคลับสกาย (Sky Football) ในปี ค.ศ. 1897 หลังจากที่คณะกรรมการชุดใหม่อย่าง ฆวน ปาโดรส เข้ามาเป็นประธานได้รับการเลือกตั้งวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1902 ก็ได้ทำการก่อตั้งสโมสรอย่างเป็นทางการ โดยใช้ชื่อว่า “มาดริด” พร้อมกับใช้สนามที่กัมโปเดโอโดเนลเป็นสนามเหย้าของตัวเองในปี ค.ศ. 1912 และก็เปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น “เรอัล มาดริด ” หลังจากพระเจ้าอัลฟอนโซ่ที่ 13 แห่งประเทศสเปน ได้พระราชทานตำแหน่ง หรือ ชื่อว่า “เรอัล” ให้กับทางสโมสร และนี่ก็เป็นที่มาของฉายาสโมสรที่มีชื่อว่า “ราชันชุดขาว” ในปี ค.ศ. 1929 ได้มีการก่อตั้งระบบการแข่งขันฟุตบอลระหว่างสโมสรในประเทศเป็นครั้งแรก และ เรอัล มาดริด ก็ครองอันดับที่ 1 มาตลอดตั้งต้นฤดูกาลยันท้ายฤดูกาล แต่เกมการแข่งขันนัดสุดท้ายกลับแพ้ให้ แอธเลติก บิลเบา เลยทำให้ เรอัล มาดริด คว้าอันดับที่ 2 ไปครอง
หลังจากโดนคู่ปรับร่วมลีกตลอดกาลอย่างบาร์เซโลน่าปาดหน้าคว้าแชมป์ได้ จนแล้วจนเหล่า เรอัล มาดริด ก็สามารถสถาปนาตัวเองขึ้นมาได้ด้วยการเถลิงคว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1931-1932 และในปีถัดมาก็สามารถคว้าแชมป์ลีกไปครองได้อีก 1 สมัย จึงทำให้ เรอัล มาดริด เป็นสโมสรแรกในประเทศสเปนที่คว้าแชมป์ติดต่อกันถึง 2 สมัย ในปี ค.ศ. 1945 ประธานาธิบดีอย่าง ซานทิเอโก้ เบร์นาเบว เด เยสเต้ เข้ามาเป็นประธานสโมสร และได้ระดมทุนสร้างสนามกีฬา ซานทิเอโก้ เบร์นาเบว (Santiago Bernabeu) ขึ้นมา พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ หลังจากสงครามกลางเมืองประเทศสเปนสิ้นสุดลง ประธานาธิบดี ได้ตัดสินใจในการใช้กลยุทธ์ ด้วยการซื้อนักเตะระดับโลกอย่าง อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ (Alfredo Di Stefano) เข้ามาร่วมทีม และช่วยให้ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนส์คัพได้ 5 สมัยติดตต่อกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 ถึง ปี ค.ศ. 1960 แล้วยังคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนส์คัพได้เป็นสมัยที่ 6 ในปี ค.ศ. 1966 ช่วงปี ค.ศ. 1970 เรอัล มาดริด สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ 5 สมัย และแชมป์สแปนิชคัฟ 3 สมัย พร้อมกับได้สิทธิไปเล่นในรายการยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ได้เป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1971
ต่อมาอีก 7 ปี ประธานสโมสรก็ได้เสียชีวิตลง ในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1978 พอผ่านไป 1 ปี เรอัล มาดริด ก็ได้จัดตั้งการแข่งขัน “โทรฟี่ ซานทิเอโก้ เบร์นาเบว” (Santiago Bernabeu Trophy) ขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ท่านประธานสโมสรจวบจนถึงปัจจุบัน ต่อมาในปี ค.ศ. 1980 เรอัล มาดริด ไม่สามารถคว้าแชมป์รายการไหนได้เลย จึงมีการเปลี่ยนแปลงและซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทีม อาทิเช่น ฟรานซิสโก่ บูโย ผู้รักษาประตูทีมชาติสเปน, มีเกล ปอร์ลัน เชนโด้ แบ็กขวาทีมชาติสเปน และ อูโก้ ซานเชซ กองหน้าทีมชาติเม็กซิโก ส่งผลให้ เรอัล มาดริด กลับมาเป็นสโมสรที่ดีที่สุดในระดับประเทศและระดับยุโรปอีกครั้ง หลังจากคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ 2 สมัย, แชมป์สเปนนิชแชมเปี้ยนชิพ 5 สมัย, แชมป์โกปาเดลเรย์ 1 สมัย และแชมป์ซูเปร์โกปา เด เอสปัญญา อีก 3 สมัย ในช่วงปี ค.ศ. 1996 ประธานสโมสรอย่าง ลอเรนโซ่ ซานซ์ (Lorenzo Sanz) ได้แต่งตั้ง ฟาบิโอ คาเปลโล่(Fabio Capello) อดีตผู้จัดการทีม เอซี มิลาน เข้าเป็นผู้จัดการทีมให้กับสโมสร แม้ว่า ฟาบิโอ คาเปลโล่ จะคุมทีมแค่ปีเดียว แต่ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ก็พา เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ลีกได้ พร้อมกับซื้อนักเตะดังๆ ด้วย อาทิเช่น โรแบร์โต้ คาร์ลอส,เพรดรัก มิจาโตวิช, ดาวอร์ ซูเคอร์ และคลาเรนซ์ เซดอร์ฟ เข้ามาเล่นร่วมกับผู้เล่นเดิมของสโมสรอย่าง ราอูล กอนซาเลซ, เฟร์นันโด อิเอร์โร่, อีวาน ซาโมราโน่ และเฟร์นันโด เรดอนโด้ เป็นผลทำให้สโมสรกลับมาคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนส์คัพ หรือ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีกได้เป็นสมัยที่ 7 ในปี ค.ศ. 1998 ภายใต้การคุมทีมของ จูปป์ ไฮย์เกส (Jupp Heynckes) ถัดมาอีก 1 ปี ในปี ค.ศ. 1999 เรอัล มาดริด ก็สามารถคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก มาครองเป็นสมัยที่ 8
ต่อมาสโมสรได้ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ (Florentino Perez) ขึ้นมาเป็นประธานสโมสรคนใหม่ เป็นนักธุรกิจชาวสเปนที่รวยที่สุดในประเทศ ณ เวลานั้น แล้วในปีถัดมา เรอัล มาดริด ก็ได้สร้างค่ายฝึกอบรมใหม่ หรือ การคัดหานักเตะเก่ง นักเตะดัง เข้ามาร่วมทีม หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า “กาลาตีกอส” การจัดการสรรหาผู้เล่นดาวดัง โดยนักเตะดังยุคนั้นมี ซีเนดีน ซีดาน, โรนัลโด้, เดวิด เบ็คแฮม, ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และหลุยส์ ฟิโก้ จนพา เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 9 ได้สำเร็จ แล้วก็คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรป แชมป์ฟุตบอลถ้วยอเมริกาใต้ด้วยในปี ค.ศ. 2002 แล้วปีต่อมาก็คว้าแชมป์ลีก หรือ ลาลีกา สเปน ได้อีก 1 สมัย ช่วงปี ค.ศ. 2006 สโมสรได้แต่งตั้ง รามอส กัลเดร่อน (Ramon Calderon) เข้ามาเป็นประธานสโมสรแทน ฟลอเรนติโน่ เปเรซ และสามารถคว้าแชมป์ลาลีก้าได้อีกครั้งด้วยฝีมือของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ที่ตัดสินใจหวนกลับมาคุมทีมอีกครั้ง และในปีเดียวกันนั้นสโมสรก็ได้ทำการขายนักเตะชื่อดังไปหลายรายไม่ว่าจะเป็น เดวิด เบ็คแฮม, โรนัลโด้ ,หลุยส์ ฟิโก้ แล้ว ซีเนดีน ซีดาน เองก็แขวนสตั๊ดด้วย เลยทำให้ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ดึงนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทีมทั้ง กอนซาโล่ อิกวาอิน, มาร์เซโล่ และ รุด ฟาน นิสเตลรอย ในปี ค.ศ. 2007 สโมสรก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมใหม่อีกครั้ง ด้วยการเซ็นสัญญา แบรนด์ ชูสเตอร์ (Bernd Schuster) เข้ามาเป็นทำทีมแทน ฟาบิโอ คาเปลโล่ และได้ซื้อนักเตะเพิ่มเข้ามาอีกทั้ง เปเป้,เจอร์ซี่ย์ ดูเด็ค,อาร์เยน ร็อบเบน, เวสลี่ย์ ชไนเดอร์ พร้อมกับพาสโมสรคว้าแชมป์ลาลีก้าเป็นสมัยที่ 30 ด้วย
ในปี ค.ศ. 2008-2009 2008-09 หลังจากคว้าแชมป์ ซูเปอร์ โกปา เดลเรย์ สเปน ได้ ชูสเตอร์ก็ถูกไล่ออกโดยไม่ทราบสาเหตุ จนกระทั่งปี 2009 ฟลอเรนติโน่ เปเรซ กลับมาประธานสโมสรอีกครั้ง โดยมีแผนที่จะสร้าง “นิว กาลาตีกอส” ด้วยการนำนักเตะยอดฝีมืออย่าง ริคาร์โด้ กาก้า และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้ามา พร้อมแต่งตั้งให้ มานูเอล เปเยกรินี่ (Manuel Pellegrini) เข้าามาทำทีม แต่ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ เลยทำให้ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ตัดสินใจดึง โช่เซ่ มูรินโญ่ เข้ามาทำทีมต่อ ในปี ค.ศ. 2012 ก็คว้าแชมป์ลาลีก้าสมัยที่ 32 ได้ถัดมาอีก 1 ปี โช่เซ่ มูรินโญ่ มีปัญหากับนักเตะอาวุโสอย่าง เซร์กิโอ รามอส, อีเกร์ กาซียาส แล้วไม่สามารถพาสโมสรคว้าแชมป์ได้เลยโดนปลดออก จากนั้นก็เซ็นสัญญากับ คาร์โล อันเชล็อตติ (Carlo Ancelotti) เข้ามาคุมทีม พร้อมกับคว้าปีตัวเก่งอย่าง แกเร็ธ เบล เข้ามาด้วย แล้วในปีนั้นก็คว้าแชมป์โกปาเดลเรย์ได้ และคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก เป็นสมัยที่ 10 ถัดมา คาร์โล อันเชล็อตติ ไม่สามารถพา เรอัล มาดริด ประสบความสำเร็จได้ เลยต้องหลีกทางให้กับ ราฟาเอล เบนิเตซ ในปี ค.ศ. 2005 แต่ก็ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่เหมือนเดิม หลังจากปลด ราฟาเอล เบนิเตซ ออกไปก็ได้แต่งตั้ง ซีเนดีน ซีดาน ขึ้นมาทันที จนนำความสำเร็จมาสู่ เรอัล มาดริด เป็นกอบเป็นกำ ด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน ก่อนที่จะลาออกแบบสายฟ้าแลบ ทำให้สโมสรเซ็น จูเลน โลเปเตกี เข้าคุมทีมต่อ และถูก ซานติเอโก้ โซลารี่ ผู้จัดการทีมชุดสำรองมารับช่วงต่อ หลังจาก ซานติเอโก้ โซลารี่ คุมทีมได้เพียง 14 เกม แต่แล้ว เปเรซ ก็ตัดสินใจกลับไปอ้อนวอนขอให้ ซีดาน กลับมาคุมทีมต่อจนถึงปัจจุบัน
เกียรติประวัติแชมป์ทั้งหมดของ เรอัล มาดริด หรือ “ราชันชุดขาว” : ระดับทวีปยุโรป แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (13 สมัย), แชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ (3 สมัย) แชมป์ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ (2 สมัย), แชมป์สโมสรโลก (4 สมัย) : ระดับประเทศ แชมป์ลาลีก้า (33 สมัย), แชมป์โกปาเดลเรย์ (19 สมัย), แชมป์ซูเปอร์โกปา เด เอสปันญ่า (10 สมัย), แชมป์ โกปา เอบา ดัวร์เต (1 สมัย), โกปา เด ลาลีก้า (1 สมัย) ส่วนระดับท้องถิ่นและภูมิภาคนับไม่ถ้วน ( Updated : 17-4-2020 )