อินเตอร์ มิลาน
( Inter )
website : http://www.inter.it/en/
No. | Name | Type | Join | Out |
---|---|---|---|---|
9 | เอดิน เชโก้ | ผู้เล่น | 2021-08-14 | - |
1 | ซาเมียร์ ฮันดาโนวิช | ผู้เล่น | 2012-07-09 | - |
21 | อเล็กซ์ คอร์ดาซ | ผู้เล่น | 2021-07-01 | - |
36 | มัตเตโอ ดาร์เมียน | ผู้เล่น | 2021-07-01 | - |
22 | เฮนริค มคิตาร์ยาน | ผู้เล่น | 2022-07-01 | - |
33 | ดานิโล่ ดัมโบรซิโอ | ผู้เล่น | 2014-01-30 | - |
90 | โรเมลู ลูกากู | ผู้เล่น | 2022-07-01 | 2023-06-30 |
6 | สเตฟาน เดอ ฟราย | ผู้เล่น | 2018-07-01 | - |
77 | มาร์เซโล่ โบรโซวิช | ผู้เล่น | 2016-07-01 | - |
20 | ฮาคาน คัลฮาโนกลู | ผู้เล่น | 2021-07-01 | - |
37 | มิลาน สคริเนียร์ | ผู้เล่น | 2017-07-06 | - |
11 | ฮัวกิน คอร์เรอา | ผู้เล่น | 2021-07-01 | - |
9804 | วาเลนติโน่ ลาซาโร่ | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
6504 | สเตฟาโน่ เซนซี่ | ผู้เล่น | 2020-09-01 | - |
5 | โรแบร์โต้ กายาร์ดินี่ | ผู้เล่น | 2017-01-08 | - |
8 | โรบิน โกเซนส์ | ผู้เล่น | 2022-01-27 | 2023-06-30 |
- | ดัลแบร์ต | ผู้เล่น | 2017-08-09 | - |
23 | นิโคโล่ บาเรลล่า | ผู้เล่น | 2020-09-01 | - |
2 | เดนเซล ดัมฟรีส์ | ผู้เล่น | 2021-08-15 | - |
32 | เฟเดริโก้ ดิมาร์โก้ | ผู้เล่น | 2015-07-01 | - |
24 | อ็องเดร โอนานา | ผู้เล่น | 2022-07-01 | - |
7801 | โยนุต ราดู | ผู้เล่น | 2019-07-12 | - |
10 | เลาตาโร่ มาร์ติเนซ | ผู้เล่น | 2018-07-01 | - |
- | ซิโมเน่ อินซากี้ | โค้ช | 2021-06-03 | - |
7943 | อันเดรีย ปินามอนติ | ผู้เล่น | 2020-08-18 | - |
95 | อเลสซานโดร บาสโตนี่ | ผู้เล่น | 2017-08-30 | - |
10229 | ซินโญ วาเนิสเดน | ผู้เล่น | 2021-07-13 | - |
16 | เอ็ดดี้ ซัลเซโด้ | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
12 | ราอูล เบลลาโนว่า | ผู้เล่น | 2022-07-05 | 2023-06-30 |
89396 | ฟาคุนโด โคลิดิโอ | ผู้เล่น | - | - |
42 | ลูเซียง อากูเม่ | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
- | กาเบรียล บราเซา | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
8635 | เซบาสเตียโน่ เอสโปซิโต้ | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
6480 | โลเรนโซ ปีโรลา | ผู้เล่น | 2020-07-01 | - |
9931 | ดาเรียน มาเรส | ผู้เล่น | 2020-09-16 | - |
- | Filip Stankovic | ผู้เล่น | 2020-02-01 | - |
- | Martin Satriano | ผู้เล่น | 2021-07-01 | - |
14 | Kristjan Asllani | ผู้เล่น | 2022-07-01 | 2023-06-30 |
6594 | Andi Hoti | ผู้เล่น | - | - |
9872 | Edoardo Sottini | ผู้เล่น | - | - |
6512 | Mattia Sangalli | ผู้เล่น | - | - |
6488 | William Rovida | ผู้เล่น | - | - |
189486 | Alessandro Silvestro | ผู้เล่น | - | - |
Tournament | Join | Out |
---|---|---|
Champions Cup | 2019-07-15 | 2019-08-10 |
Champions League Grp. D | 2021-09-14 | 2021-12-07 |
Champions League Final Stage | 2022-02-14 | 2022-05-28 |
Club Friendlies | 2021-12-31 | 2022-12-30 |
Serie A | 2022-08-13 | 2023-06-04 |
Super Cup | 2023-01-17 | 2023-01-18 |
Coppa Italia | 2022-07-30 | 2023-05-24 |
ประวัติ : อินเตอร์ มิลาน
เจ้าของฉายา เนรัซซูรี่ หรือ งูใหญ่ ทีมฟุตบอลแถวหน้าของวงการลูกหนังยุโรปและเป็นสโมสรอันดับต้นๆของสังเวียนลูกหนัง กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้งศึกฟุตบอลลีกขึ้นในปี 1929 อินเตอร์ มิลาน (Football Club Internazionale Milano S.p.A.) เป็นสโมสรหนึ่งเดียวที่ไม่เคยตกชั้นลงไปอยู่ในดิวิชั่น 2 เลย ในอดีตแม้ว่าพวกเขาจะเคยเป็นส่วนหนึ่งของสโมสร เอซี มิลาน มาก่อน แต่หลังจากที่ถอนตัวออกมาพวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาไขว่คว้าความสำเร็จเพื่อจะแซงหน้าสโมสรร่วมเมืองของพวกเขา ท้าวความกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต สโมสรแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 9 มีนาคม คศ.1908 ภายใต้ชื่อสโมสร ฟุตบอล คลับ อินแตร์นาซีโอนาเล เดิมทีพวกเขาคือสมาชิกส่วนหนึ่งของสโมสร เอซี มิลาน ที่ก่อตั้งมาก่อนตั้งแต่ในปี 1899 ภายใต้ชื่อ มิลาน ฟุตบอล และ คริกเก็ต คลับ ซึ่งเป็นสโมสรแรกที่ก่อตั้งขึ้นมาแต่เนื่องจากว่าเกิดปัญหาความขัดแย้งภายในกันเกี่ยวกับเรื่องของการทำข้อตกลงให้นักเตะต่างชาติเข้ามาร่วมทีม ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันจนสุดท้าย สมาชิกจำนวน 44 คนผู้ให้กำเนิดทีมฟุตบอล อินเตอร์ มิลาน ได้ตัดสินใจถอนตัวออกมาพร้อมกับมาตั้งทีมขึ้นมาใหม่และยังได้สร้างชื่อเสียงให้กับวงกาลลูกหนัง อัซซูรี่ และยังเป็นทีมฟุตบอลที่สร้างนักเตะชื่อดังมากมายให้กับวงลูกหนัง Inter Milan หรือฉายาที่คนไทยเรียกกันว่า “งูใหญ่” ในส่วนของชื่อฉายา Il Biscione หรือ งูใหญ่ นั้นจริงๆแล้วมีประวัติเล่าว่าเป็น ตราประจำตระกูล วิสคอนติ ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่และยังเป็นเจ้าเมืองเก่าของเมืองมิลานมาก่อนและมีหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวถูกเชิญให้เข้ามาเป็นประธานให้กับสโมสรในช่วงแรกๆ แต่ก็เป็นระยะเวลาที่ไม่นานรวมไปถึงตราสัญลักษณ์ในตอนแรกที่เกิดขึ้นนั้นเดิมทีจะเป็นรูปงู แต่ภายหลังได้ให้ศิลปินท่านหนึ่งชื่อว่า จอร์โจ มักกีอานี เป็นผู้ออกแบบโลโก้สโมสรให้ใหม่จนกลายมาเป็นโลโก้ที่ใช้กันจนถึงปัจจุบัน โดยในตัวของตราสโมสรจะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษอยู่ 3 ตัว คือ I M และ C ซึ่งก็จะเป็นเหมือนตัวย่อของชื่อเต็ม Inter Milan Fc โดยพวกเขาปักหลักสร้างฐานกันอยู่ที่เมืองมีลาน เขตลอมบาร์ดี และยังใช้สนามเหย้าเดียวกับทีมอดีตทีมเก่าของพวกเขาอย่าง เอซี มิลาน อีกด้วยแต่ชื่อเรียกของสนามจะแตกต่างกันนิดหนึ่งซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นสนามเดียวกันแต่ทางฝั่งของ เอซี มิลาน เรียกสนามเหย้าของพวกเขาว่า “ซานซีโร่” ส่วนทางฝั่งของ อินเตอร์ มิลาน ใช้เรียกว่า “สตาดีโอจูเซปเปเมอัซซ่า”
พวกเขามักจะแย่งชิงความเป็นใหญ่กันอยู่ในเมืองมิลานเมื่อไหร่ก็ตามที่มีศึกมิลานดาร์บี้แมตช์ก็มักจะเป็นวันที่ครึกครื้นสำหรับย้านนั้นเป็นอย่างมากและผลงานความสำเร็จของทั้งคู่ก็ดูเหมือนว่าจะสูสีกันมาตลอด เมื่อย้อนกลับไปถึงเรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่เริ่มเดิมที่มีทีมฟุตบอลแห่งนี้ขึ้นมาพวกเขามีกัปตันทีมคนแรกเป็น ชาสวิสเซอร์แลนชื่อว่า เฮิร์นต์ แมงตี และตราสีของตราสโมสรจากอดีตจนถึงปัจจุบันยังคงเป็นสีทอง,ดำและ น้ำเงิน ในยุคที่ไฟสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยังไม่ค่อยอุ่นดีหรืออยู่ในช่วงปี 1930 ทีมมาได้แชมป์สูงสุดระดับประเทศเป็นครั้งที่ 3 แต่ตอนนั้นสโมสรถูกบังคับให้ต้องรวมกับสโมสร มิลานีสยูเนี่ยน สปอร์ติว่า ภายใต้ชื่อสโมสร อัมบรอสเซียน่าอินเตอร์ หลังจากนั้นผ่านมาได้ 4 ปี อิตาลี ครองคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกภายในทีมชุดนั้นรวมไปด้วนักเตะ อินเตอร์ มิลาน อย่าง เนราซซูร์รี่ อัลเลมันดี ,คาเตลาซซี่, เดมาเรีย และ กุยเซปเป้ เมียซซ่า ที่ช่วยกันพาอิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาได้หลังจากนั้นผ่านมาอีก 4 ปี อิตาลี ก็มาได้แชมป์ฟุตบอลโลกอีกหนึ่งครั้งพร้อมกับการนับทับของนักเตะแนวหน้าของสโมสร อินเตอร์ มิลาน อย่าง เฟอร์รารี่ โลคาเตลลี่ และ เมียซซ่า ตำนานลูกหนังอิตาลีคนเดิมที่ลงเล่นให้ทีมชาติได้แชมป์โลก 2 ครั้งและยังพาทัพงูใหญ่ คว้าแชมป์ในรายการลีกสูงสุดของ อิตาลี มาครองเป็นสมัยที่ 4 และต่อมาภายหลังจากสิ้นฤดูกาล 1938 และตามด้วยต้นปี 1939 พวกเขาก็มาได้แชมป์ โคปปา อิตาเลี่ยน เป็นสมัยแรกในปีนั้น ช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ช่วงทศวรรษที่ 40 มีการสถาปณาชื่อสโมสรใหม่หลังจากที่ใช้ อัมบรอสเซียน่า มาสักระยะหนึ่งภายในเดือนตุลาคม 1945 สโมสรได้กลับมาใช้ชื่อสโมสรเดิมคือ อินเตอร์ มิลาน และหลังจากนั้น 2 ปี ดาวซัลโว สูงสุดตลอดกาลของทัพ เนรัซซูรี่ อย่าง กรุยเซปเป้ เมียซซ่า ตัดสินใจอำลาสโมสรพร้อมกับอาชีพในการค้าแข้งโดยตลอด 408 นัดกับทัพ อินเตอร์ เขาช่วยซัดประตูให้กับทีมไปทั้งสิ้น 287 ประตูด้วยกันและหลังจากนั้นเขาก็มาเสียชีวิตลงในปี 1979 หลังจากที่ตำนานแข้งดังของ อินเตอร์ และ ประเทศอิตาลีเพื่อเป็นเกรียติต่อวีรกรรมที่ช่วยพาอิตาลีคว้าแชมป์โลกมาของชื่อของเขาจึงถูกนำไปตั้งเป็นชื่อสนามเหย้าของอินเตอร์ และก็ใช้ชื่อนั้นมานานจนถึงทุกวันนี้ อินเตอร์ มิลาน มาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นสมัยที่ 6 เมื่อปี 1953 การนำทัพของเหล่าหนักเตะรวมต่างชาติ 4 แข้งนำโดย เบนีโต้ หรือ เวเลโน่ จากทีมชาติ อิตาลี และ สคอกลุนด์ จากสวีเดน ตามด้วย วิลเกส และ ไนเออร์ สองแข้งที่จากต่างแดน
ทั้ง 4 แข้งล้วนเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จในปีนั้น หลังจากนั้นยุคทองของพวกเขาก็เริ่มขึ้นหลังจากที่ได้แต่งตั้งประธานสโมสรคนใหม่โดยเรียกยุคนั้นว่า เกรทอินเตอร์ เป็นยุคที่ดีที่สุดนำโดย แองเจโล่ โมร็อตติ รับตำแหน่งเป็นประธานสโมสร ขับเคลื่อนทีมโดยผู้จัดการทีมอย่าง เฮเลนิโอ เฮอร์ร่า พร้อมกับนักเตะหลายๆคนที่ทำให้สโมรประสบความสำเร็จทั้งในบอลลีกและในระดับทวีปยุโรป โดยรายชื่อนักเตะที่ยกมาคร่าวๆก็จะมี มิลานี่(โดเมงกินี), มาซโซล่า ,ซาร์ติ ,เบิร์กนิค ,ฟาคเชตติ , เบดิน , ซัวเรซ และคอร์โซ่ นักเตะยุค เกรทอินเตอร์ ที่มีส่วนร่วมทำให้ทีมสามารถคว้าแชมป์สูงสุดอย่างรายการ กัลโซ่ เซียเรีย อา อิตาลี ถึง 3 ปีซ้อน โดยเกิดขึ้นในช่วงปี 1964,1965 และ 1966 นอกจากนั้นยังสามารถคว้าแชมป์ใหญ่รายการบอลถ้วยยุโรปได้สำเร็จอีก 2 ครั้งคือในปี 1964 และ 1965 การชิงชนะเลิศในปี 1964 พวกเขาสามารถเอาชนะยอดทีมจากสเปน เรอัล มาดริด ตามหลังอีกหนึ่งปีเข้าชิงกับ เบนฟิก้า ทีมอันดับหนึ่งของ ซุปเปอร์ลีก้า โปรตุเกส พวกเขาก็สามารถเอาชนะในนัดชิงได้สำเร็จ พร้อมกันนี้พวกเขาในปีที่พวกเขาได้แชมป์บอลถ้วยยุโรปมาครองยังสามารถเอาชนะเลิศในรายการ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ที่เอาชนะสุดยอดทีมจากอาร์เจนติน่าอย่าง อินดิเพนเดนเต้ ไปได้ทั้งสองครั้ง สร้างผลงานระดับยุโรปมาอีกทั้ง 2 ถ้วย นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของสโมสร ทางสมาพันฟุตบอล อิตาลี เห็นจากผลงานที่พวกเขาทำผลงานได้ดีมากๆในยุคนั้นจึงอนุญาติให้ติดดาวทองลงไปบนเหนือตราสโมสรเพื่อเป็นเกรียติในความสำเร็จที่ได้พวกเขาได้สร้างชื่อให้กับวงการฟุตบอล อิตาลี อีกทั้งตำนานแข้งดังของอินเตอร์ในยุคนั้นนำโดย เบิร์กนิช โดเมนกีนี่ ฟัคเชตติ กวาร์เนรี่ และ มาสโซล่า ช่วยพาทีมชาติคว้าแชมป์ฟุตบอลรายการ ยูโร ปี 1968 มาครองอีกด้วย หลังจากนั้น 3 ปีให้หลัง INTER MILAN ขึ้นบัลลังค์คว้าแชปม์ เซเรีย อา หรือ สคุตโต้ ดิวิชั่น ได้เป็นสมัยที่ 11 ภายใต้การขับเคลื่อนโดยผู้จัดการทีมอย่าง จิอานนี่ อินเวอร์นิซซี่ พอเรื่องราวดำเนินผ่านมาจนถึงยุค 80 พวกเขาก็มาประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 12 ในปี 1980 ตามต่อด้วยครั้งที่ 13 ในปี 1989
ในช่วงปี 1982 ศึกฟุตบอลโลกเริ่มขึ้น ทีมชาติอิตาลีชุดที่ทีมได้แชมป์โลกมาครองนั้นส่วนหนึ่งมาจากนักเตะชั้นนำของอินเตอร์มิลานนำโดย อัลโตเบลลี่, เบอร์โกมี่, บอร์ดอน, มารินี่ และ โอเรียลี่ เป็นส่วนช่วยทำให้ทีมชาติคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้สำเร็จ เรื่องราวใยยุค 80 ของพวกเขาจบลงด้วยความยิ่งใหญ่คือนักเตะหนึ่งคนในทีมนั่นก็คือ โลธ่า เมทเธอุส ผู้เป็นกองกำลังสำคัญของทั้งทีมชาติเยอรมันและสโมสร เนรัซซูรี่ ได้รางวัลอันทรงเกรียติ ในฐานะนักเตะยอดเยี่ยมของวงการฟุตบอลยุโรปและยังถือว่าเป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่เคยได้รับรางวัลอันทรงเกรียติอย่างนี้ พอเข้าสู่ทศวรรษที่ 90 สโมสรยังอยู่ในช่วงของการสร้างความสำเร็จผลงานของอินเตอร์ยังคงร้อนแรงเช่นเคยเมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปถึงนัดชิงฟุตบอล ยูฟ่า คัพ ได้ในปี 1991 เจอกับทาง เอเอส โรม่า ทีมใหญ่ในเมืองหลวงของอิตาลี แต่ด้วยความที่ฟอร์มอันร้อนแรงของ งูใหญ่ ทำให้สามารถเฉือนเอาชนะ หมาป่าแห่งกรุงโรม ไปได้ 2-1 ขึ้นแท่นเป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วยยุโรปอีกสมัย หลังจากนั้นต่อมาในฤดูกาล 1998 Inter Milan ก็สามารถคว้ารางวัลบอลถ้วยยุโรปมาครองได้อีกเป็นสมัยที่ 2 ด้วยการเอาชนะ ซัลซ์บวร์ก มาได้ ในขณะที่ปีนั้น อินเตอร์ มิลาน มีตำนานนักเตะระดับโลกอยู่ในทีมนั่นก็คือ โรนัลโด้ หรือโด้เหยิน ที่ทุกคนรู้จักกันดีในยุค 90 เขาได้รับรางวัลในฐานะนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของ ฟีฟ่า ด้วยในปีนั้นซึ่งเป็นนักเตะคนแรกของอินเตอร์อีกแล้วที่ได้รับรางวัลอันทรงเกรียติและ โรนัลโด้ ยังเป็นนักเตะคนที่สองที่ได้รับเครื่องราชบอลลอน อีกด้วย แม้ว่าหลังจากนั้นพอผ่านยุค 90 มาสู่ช่วง คศ. 2000 ผ่านมาจนถึงปี 2005 น่าผิดหวังที่สโมสรไม่สามารถสร้างความสำเร็จใดใดในรายการยิ่งใหญ่ได้เลยจะมีก็คือถ้วยรางวัลปลอบใจในรายการ โคปปา อิตาเลียน และช่วงเวลา 5 ปีที่พวกเขาลงสนามฟาดแข้งอยู่ในศึก เซเรีย อา ในปี 2002 อินเตอร์ มิลาน เกือบจะสามารถคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งแต่ดันไปพลาดท่าแพ้นัดสุดท้ายให้กับ ลาซิโอ ไปจนทำให้ในปีนั้นแฟนบอลต่างพากันปาดน้ำตากันเป็นแทบๆทั้งที่พวกเขามีโอกาสที่จะคว้าแชมป์มาครองหากไม่พลาดในนัดสุดท้ายในวันนั้น หลังจากนั้น งูใหญ่ เริ่มกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่ฤดูกาล 2005-2006 จวบไปจนถึงฤดูกาล 2010 พวกเขาคว้าแชมป์ลีกมาได้อย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีโดยการเสริมทัพนักเตะมากมายอาทิเช่น เอสเตบัน กัมบิอาสโซ่ กองกลางตัวรุกดาวรุ่งที่มีส่วนให้ทีมมีผลงานที่ดีขึ้นตามลำดับ รวมไปถึง จูลิโอ เซซ่า นายทวารจอบหนึบที่ได้มาช่วนเฝ้าเสาให้กับทีมทำให้ป้องกันลูกอันตรายของศัตรูคู่แข่งได้อย่างเหนียวแน่นหนึบเป็นส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์มาครองได้อีกหลายสมัย และยังมีปราการหลังมากประสบการณ์อย่าง วอร์เตอร์ ซามูเอล ที่มาช่วยแพ็คเกมรับให้กับทีม แต่ฤดูกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับยอดทีมจากอิตาลี อินเตอร์ มิลาน สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ในปี 2009 ทั้งการเป็นแชมป์ เซเรีย อา และตามต่อด้วยการคว้าแชมป์บอลถ้วย โคปปา อิตาเลีย นอกจากนั้นยังสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยยุโรป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้สำเร็จ สร้างชื่อให้ทีมเป็นอย่างมากและต้องบอกเลยว่าการนำทัพในปีนั้นมาจากผลงานสุดยอดกุนซือชื่อดังชาวโปรตุเกสอย่าง โช่เซ่ มูรินโญ่ จนภายหลังเจ้าตัวได้รับฉายาที่ย่องย่องความสรามารถของกุนซือรายนี้ว่า เดอะ สเปเชี่ยลวัน สรุปความสำเร็จของกองทัพ “งูใหญ่” ( Updated : 27-4-2020 )