บาเยิร์น มิวนิค
( Bayern Munich )
website : http://www.fcbayern.de/
No. | Name | Type | Join | Out |
---|---|---|---|---|
1 | มานูเอล นอยเออร์ | ผู้เล่น | 2011-07-01 | - |
17 | เยโรม บัวเต็ง | ผู้เล่น | 2011-07-18 | - |
8 | ฆาบี มาร์ติเนซ | ผู้เล่น | 2012-08-29 | - |
9 | โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ | ผู้เล่น | 2014-07-01 | - |
13 | เอริค มักซิม ชูโป-โมติง | ผู้เล่น | 2020-10-05 | - |
25 | โธมัส มุลเลอร์ | ผู้เล่น | 2009-07-01 | - |
27 | ดาวิด อลาบา | ผู้เล่น | 2010-07-01 | - |
- | ฮันส์-ดีเตอร์ ฟลิค | โค้ช | 2019-11-03 | - |
9885 | ดั๊กลาส คอสต้า | ผู้เล่น | 2020-10-05 | 2021-06-30 |
20 | บูน่า ซาร์ | ผู้เล่น | 2020-10-05 | - |
18 | เลออน โกเร็ตซ์ก้า | ผู้เล่น | 2018-07-01 | - |
7 | เซิร์จ นาบรี้ | ผู้เล่น | 2017-07-01 | - |
29 | คิงสลี่ย์ โกม็อง | ผู้เล่น | 2017-07-01 | - |
4 | นิคลาส ซูเล่อ | ผู้เล่น | 2017-07-01 | - |
6 | โยชัว คิมมิช | ผู้เล่น | 2015-07-02 | - |
24 | โกร็องแต็ง โตลิสโซ่ | ผู้เล่น | 2017-06-14 | - |
21 | ลูคัส เอร์นานเดซ | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
10 | เลรอย ซาเน่ | ผู้เล่น | 2020-07-15 | - |
35 | อเล็กซานเดอร์ นูเบล | ผู้เล่น | 2020-06-30 | - |
5 | แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
22 | มาร์ก โรก้า | ผู้เล่น | 2020-10-04 | - |
19 | อัลฟอนโซ่ เดวี่ส์ | ผู้เล่น | 2019-01-01 | - |
8640 | อาเดรียน ไฟน์ | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
8262 | ลาร์ส ลูคัส ไม | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
8592 | มิกกาแอล กุยซ็องซ์ | ผู้เล่น | 2019-08-17 | - |
44 | Josip Stanisic | ผู้เล่น | - | - |
49 | Maximilian Zaiser | ผู้เล่น | - | - |
8226 | Chris Richards | ผู้เล่น | 2020-09-01 | - |
10167 | โจชัว เซิร์คซี | ผู้เล่น | 2020-07-01 | - |
338302 | Tiago Dantas | ผู้เล่น | 2020-10-05 | 2021-06-30 |
23 | ต็องกีย์ กูอัสซี่ | ผู้เล่น | 2020-07-01 | - |
36 | Angelo Stiller | ผู้เล่น | - | - |
39 | รอน-ทอร์เบน ฮอฟมันน์ | ผู้เล่น | 2018-07-01 | - |
43 | ไบรท์ อัคโว อาร์รี่ย์-เอ็มบี | ผู้เล่น | 2019-07-04 | - |
42 | Jamal Musiala | ผู้เล่น | 2020-09-01 | - |
32 | Christopher Scott | ผู้เล่น | - | - |
47 | Armindo Sieb | ผู้เล่น | - | - |
Tournament | Join | Out |
---|---|---|
Telekom Cup - Winter | 2019-01-12 | 2019-01-13 |
Champions Cup | 2019-07-15 | 2019-08-10 |
Audi Cup | 2019-07-29 | 2019-07-31 |
Super Cup | 2020-09-29 | 2020-09-30 |
DFB Pokal | 2020-09-10 | 2021-05-13 |
1. Bundesliga | 2020-09-18 | 2021-05-22 |
UEFA Super Cup | 2020-09-23 | 2020-09-24 |
Champions League Grp. A | 2020-10-19 | 2020-12-09 |
FIFA Club World Cup | 2021-01-31 | 2021-02-11 |
Champions League Final Stage | 2021-02-15 | 2021-05-29 |
Club Friendlies | 2020-12-31 | 2021-12-30 |
ประวัติ : บาเยิร์น มิวนิค
เจ้าของบัลลังค์ลูกหนังเยอรมนีจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก พี่เสือใต้ (บาเยิร์น มิวนิค) แนวหน้าของวงการฟุตบอลที่มีประวัติมาอย่างยาวนานในวงการลูกหนัง วันนี้จะเราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักเกี่ยวกับที่มาที่ไปของสโมสรชื่อดังแห่งนี้ว่าเดิมทีนั้นพวกเขามีความเป็นมากันยังไง โดยต้องย้อนกลับไปถึงปี คศ. 1900 เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งสโมสรซึ่งเป็นการรวมตัวกันของนักกีฬายิมนาสติก 11 คนที่มิได้ถูกส่งตัวเข้าร่วมในการแข่งขันฟุตบอลในปีนั้นๆโดยทางสมาคมสั่งห้ามไม่ให้ทีมกีฬายิมนาสติกของเมืองมิวนิกเข้าร่วมในการแข่งขัน ทำให้นักกีฬายิมนาสติกทั้ง 11 คนตัดสินใจถอนตัวอากจากทีมและหันมาทำเป็นทีมฟุตบอลของตัวเองขึ้นมา วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ในปี คศ. 1900 นับว่าเป็นว่าที่ถือกำเนิดของทางสโมสร ไบเอิร์น มิวนิก ตามที่สำเนียงคนต่างชาติกเขาพูดกันแต่สำหรับชาวไทยของเราก็เรียกกันว่า บาเยิร์น มิวนิค ผ่านไปได้ไม่นานพวกเขาทำผลงานกันได้ดีจนสามารถผ่านเข้าไปได้ถึงรอบรองแชมป์รายการท้องถิ่น
แต่แล้วอย่างที่ทราบกันดีว่าไม่นานก็มีสงครามโลกเกิดขึ้นการก่อตั้งของ ลัทธินาซี ทำให้นักฟุตบอลในทีมต่างต้องพากันระเห็ดหนีตายกันไป สุดท้ายถึงขั้นต้องหนีออกจากประเทศกันเลยทีเดียว แถมพวกเขายังมีคำกล่าวถึงพวกเขาอีกว่าเป็น “ทีมของคนยิว” แต่เมื่อยุคของสงครามจบลงเหล่าโค้ชและนักเตะก็ต่างพากันกลับมากอบกู้ชื่อเสียงให้กับทีมอีกครั้งโดยหลังจาการกลับมามีการเป็นโค้ชไปมากถึง 13 คน ถึงแม้จะเป็นวิกฤติใหญ่ของพวกเขาในช่วงปี คศ. 1945-63 จนทำให้ทีมต้องตกชั้นลงไปแต่สุดท้าย พี่เสือ ก็กลับมาผงาดได้อีกครั้งโดยการคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วย DFB POKAL ด้วยการเอาชนะสโมสร ฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ ไปแบบเฉือนสกอร์ไปได้อย่างหวุดหวิด และหลังจากนั้นไม่นาน 2 ปีให้หลังพวกเขาก็สามารถเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาเล่นฟุตบอล บุนเดสลีกา เยอรมัน ได้สำเร็จโดยการนำทัพของนักเตะในตำนานอย่าง ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ เซฟฟ์ เมียเออร์ และ เกร์ด มูลเล่อร์ เส้นทางของการคว้าแชมป์และความสำเร็จของ บาเยิร์น มิวนิค มีมาตั้งแต่ยุต 80 มาจนถึงยุคปัจจุบัน เสือใต้ นั้นคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาแล้ว 28 ครั้งด้วยกันและยังมีรายการใหญ่ๆที่สำคัญๆอีกหลายรายการอย่างการครองแชมป์สโมรสรโลกไปได้ 3 ครั้ง รายการ ยูโรเปี้ยน คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปได้ 5 สมัย และ ยูฟ่าคัพ วินเนอร์คัพ 1 ครั้ง และเป็นรายการ ยูฟ่า คัพ หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า ยูโรป้า ลีก ไปได้ 1 สมัย เป็นอีกหนึ่งทีมของโลกที่ประสบความสำเร็จมากมายในวงการฟุตบอลยุโรป นอกจากนั้นพวกเขายังมีคู่ปรับประจำลีกอย่าง เสือเหลือง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่เป็นไม่เบื่อไม่เมากันมาตลอดแต่สุดท้ายแล้วบัลลังค์และแชมป์ต่างๆก็ตกมาอยู่ในกำมือของทาง บาเยิร์น เป็นสะส่วนใหญ่
ย้อนกลับไปในยุค 80
เป็นยุคที่พวกเขาพบเจอกับปัญหาเรื่องการเงินอย่างหนักทำให้เส้นทางในการเป็นคว้าแชมป์ค่อนข้างลำบาก และการเข้ามาของ เพาล์ เบรท์เนอร์ และ คาร์ล รูมเมนิกจ์ ก็ช่วยทำให้ทีมครองแชมป์ลีกไปได้ในปี 1980 และ 1981 จนได้รับชื่อทีมใหม่ว่า เอฟซี เบรท์เนอร์ แต่พอหลังจากนั้น2 ปีให้หลังที่ทาง เบรท์เนอร์ ประกาศเลิกเล่นฟุตบอล ก็ทำให้ บาเยิร์น ห่างหายจากการเป็นแชมป์ไปหลายปี จนต่อมาได้มีการแต่งตั้งให้อดีตกุนซือ พี่เสือ อย่าง อูโด เลตเทค กลับเข้ามาทำหน้าที่อีกครั้งและในระยะเวลาแค่เพียง 1 ปี เขาก็ทำให้ FC Bayern Munchen ได้แชมป์ เดเอฟเบ โพคาล ไปได้ในฤดูกาล 1984 และยังคว้าแชมป์ บุนเดสลีก้า เยอรมัน อีก 5 สมัยจาก 6 ฤดูกาลพอในปี คส.ได้มีการ 1987 การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งก็เริ่มขึ้นเมื่อทางสโมสรให้ ยุพ ไอน์เคิส เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้กุมบังเหียนของทีม โดยผลงานที่เขาทำได้คือหลังเข้ามา 2 ปีก็พาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จก็คือในปี 1988-1989 และ 1989-1990 แต่หลังจากเป็นเจ้าลีกได้ 2 สมัยซ้อนจู่ๆผลงานของทาง เสือใต้ ก็ตกลงและจบลงได้แค่อันดับที่ 2 ของตาราง นอกจากนั้นในฤดูกาล 1993-1994 พวกเขาก็เกือบที่จะตกชั้นลงไปเพราะคะแนนห่างจากโซนตกชั้นแค่เพียง 5 แต้มเท่านั้นจัดว่าเป็นผลงานที่แย่มากๆเลยก็ว่าได้ หลังจากที่ห่างจากแวดวงหัวตารางไปนาน ความสำเร็จก็กลับมาสู่แฟนบอลของ มิวนิค อีกครั้งเมื่อได้มีการแต่งตั้งให้ ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ เข้ามาคุมทีมจนเอาแชมป์มาครองได้สำเร็จ จนต่อมาเขาก็ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นประธานสโมสรคนใหม่และแต่งตั้งให้ จิโอวานนี่ ตราปัตโตนี่ และ ออทโท เรฮาเกิล รับหน้าที่เป็นผูจัดการทีมต่อแต่พวกเขาก็ทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอทำให้ทีมไม่ได้แชมป์อะไรมาครองเลยแถมยังมีข่าวซุบซิบเกี่ยวกับนักเตะในทีมว่าพวกเขามักจะมีข่าวกับแวดวงฮอลลีวู้ดอยู่บ่อยๆจนถูกขนานนามของทีมใหมาว่าเป็นทีม เอฟซี ฮอลลีวู้ด แต่แล้ว ฟรันทซ์ ก็ได้กลับมารับตำแหน่งต่ออีกครั้งแต่เป็นแค่ที่ปรึกษาของกุนซือเท่านั้น แต่เขาก็ช่วยทำให้ทีมกลับมาคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ ได้สำเร็จในช่วงปี 1995 - 1996 และต่อมาในฤดูกาล 1996-1997 บาเยิร์น ก็กลับมาคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งภายใต้การทำงานของ ตราปัตโตนี่ และมีที่ปรึกษามือดีอย่าง ฟรันทซ์ ที่คอยช่วยให้คำแนะนำจนทีมคว้าแชมป์ได้
แต่ก็ไม่นานหลังผ่านฤดูกาลนั้นไป เสือใต้ ก็ต้องพลาดท่าแชมป์ลีกให้กลับทีมน้องใหม่อย่าง ไกเซอร์ สเลาเทิร์น ไปและต่อมา ตราปัตโตนี่ ก็ลาออกจากตำแหน่งไปอีกครั้ง พอเข้าสู่ในยุคปี 2000 เหตุการณ์หลักๆของ บาเยิร์น นั้นน่าจะเป็นการแข่งขันกับทีมในยุโรปห่ำหั่นกันเพื่อคว้ารางวัลบอลถ้วยรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นสะส่วนใหญ่โดยในปีแรกของการขึ้นต้นในยุค 2000 การเข้ามารับตำแหน่งของ ออทมาร์ ฮิตเฟลด์ อดีตกุนซือของทีมคู่ปรับอย่าง ดอร์ทมุนด์ เพียงแค่ปีเดียวก็ทำให้ บาเยิร์น กลับมาครองแชมป์ลีกได้สำเร็จและยังได้ผ่านเข้ารอบบอล ยูฟ่า ไปถึงนัดชิงชนะเลิศ แต่ดันพลาดท่าแพ้ให้กับสโมสรในอังกฤษ เจ้าของฉายา ปีศาจแดง ไปในช่วงทดเวลาบาดเจ็บอย่างน่าเสียดาย แต่ในฤดูกาลต่อมาถือว่าเป็นการครบรอบของโสมสรได้ 100 ปีพอดี สโมสรก็กลับมาครองแชมป์ได้สองรายการพร้อมกันคือการเป็นแชมป์ลีก 3 สมัยซ้อนและยังคว้าแชมป์รายการ บอลถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้สำเร็จซึ่งนับว่าเป็นการกลับมาเป็นเจ้ายุโรปได้อีกครั้งในรอบ 25 ปีของสโมสรเลยก็ว่าได้ และช่วงเปลี่ยนถ่ายในยุคปี 2000 มีอยู่หลายต่อหลายครั้งมีทั้งการแต่งตั้งกุนซือทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าเข้ามาทำหน้าที่แต่จะขอยกไปเพราะไม่ได้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรมากนัก เสือใต้ ยังคงติดอยู่ในหัวตารางของรายการ บุนเดสลีก้า เยอรมัน มาตลอดและยังคงยืนหนึ่งในเรื่องของการคว้าแชมป์ลีก ในปี 2005-2006 การโยกย้ายสนามก็เริ่มขึ้นเมื่อ บาเยิร์น สร้างสนามใหม่จากเดิมที่ใช้สนาม โอลิมปิก สเตเดี้ยม ไปใช้สนามใหม่อย่าง อัลลีอันซ์ อารีน่า แทนซึ่งจะใช้ร่วมกับสโมสร 1860 มิวนิค ทีมรุ่นน้องของฟุตบอล เยอรมัน
และเหตุการที่สำคัญหลังจากการย้ายสนามนั้นก็คือการเซ็นนักเตะชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม มีการดึงกุนซือเจ้าเก่าอย่าง ยุพ ไฮน์เคิส กลับมาทำหน้าที่อีกครั้งและไม่นานก็เปลี่ยนโค้ชใหม่ซึ่งเป็นยุคที่วงการลูกหนังเริ่มที่จะเฟื่องฟูมีการทุ่มเงินซื้อนักเตะกันอย่างมหาศาล แต่ บาเยิร์น ก็ยังไม่สามารถเป็น เจ้ายุโรป ได้สักทีจนถึงในช่วงทศวรรษที่ 2010 ในที่สุดวันที่รอคอยของติ่ง พี่เสือ ทั้งหลายก็เป็นจริงการกลับมาเป็น เจ้ายุโรป ได้เป็นสมัยที่ 5 แม้ว่าฤดูกาลที่ 2010-2011 พวกเขาจะต้องตกรอบแรกไปอย่างน่าผิดหวังแต่ฤดูกาลหลังจากนั้นก็เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้แต่ก็ยังไม่สามารถเอาแชมป์บอลถ้วยรายการนี้มาเพราะดันไปพลาดท่าแพ้จุดโทษให้กับ เชลซี ไป 3-4 และในปีต่อมา บาเยิร์น เข้ารอบชิงชนะเลิศในรายการ ยูซีแอล ได้เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 5 ปีและในที่สุดพวกเขาก็คว้าแชมป์สมัยที่ 5 มาครองได้สำเร็จโดยการเอาชนะคู่ปรับในลีกอย่าง ดอร์ทมุนด์ ไปได้ 2-1 ที่สนาม เวมบ์ลี่ย์ รังเหย้าของ สิงห์บลู นอกจากนั้นในฤดูกาล 201-13 พวกเขายังทำลายสถิติมากมายไม่ว่าจะเป็นการคว้าแชมป์ลีกที่เร็วที่สุดในเยอรมันซึ่งยังเหลือการแข่งขันอีกถึง 6 นัดแต่พวกเขากับเป็นแชมป์ได้แล้วนับว่าเป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ของ Bayern เลยก็ว่าได้ในปีนั้น นอกจากนั้นยังมีสถิติทำคะแนนสูงสุดไปได้ถึง 91 คะแนนห่างจากทีมวางอันดับ 2 ของตารางอยู่ถึง 25 แต้ม สถิติชนะมากที่สุดในฤดูกาล 29 นัดแถมยังเสียประตูไปน้อยมากๆโดยที่เสียไปแค่ 18 ประตูเท่านั้น และนี่ก็เป็นเพียงข้อมูลประวัติคร่าวๆของสโมสรชื่อดังของวงการฟุตบอลยุโรปที่จัดว่าเป็นอีกทีมในดวงใจของแฟนบอลทั่วโลกเลยก็ว่าได้ (Updated : 30-3-2020)