โมนาโก
( Monaco )
website : http://www.asmonaco.com/en/
No. | Name | Type | Join | Out |
---|---|---|---|---|
1634 | เปเล่ | ผู้เล่น | 2018-07-06 | - |
10 | วิสซาม เบน เยแดร์ | ผู้เล่น | 2019-08-14 | 2024-06-30 |
31 | เควิน โฟลลันด์ | ผู้เล่น | 2020-09-01 | - |
- | Philippe Clement | โค้ช | 2022-01-03 | - |
3 | กีเยร์โม่ มาริปาน | ผู้เล่น | 2019-08-26 | - |
18 | ทาคุมิ มินามิโนะ | ผู้เล่น | 2022-07-01 | - |
9984 | โธมัส ดีดีลอน | ผู้เล่น | 2022-07-20 | 2023-06-30 |
36 | เบรล เอ็มโบโล่ | ผู้เล่น | 2022-07-15 | - |
16 | อเล็กซานเดอร์ นูเบล | ผู้เล่น | 2021-07-01 | 2023-06-30 |
26 | รูเบน อากีลาร์ | ผู้เล่น | 2019-08-06 | - |
77 | เกลสัน มาร์ตินส์ | ผู้เล่น | 2019-07-01 | - |
17 | อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน | ผู้เล่น | 2018-07-27 | - |
6 | อักเซล ดิซาซี่ | ผู้เล่น | 2020-08-07 | - |
9984 | ราโดสลาฟ มาเยตสกี้ | ผู้เล่น | 2020-01-29 | - |
12 | คาโย | ผู้เล่น | 2020-08-27 | - |
23 | มาล็อง ซาร์ | ผู้เล่น | 2022-08-10 | 2023-06-30 |
27 | เครแป็ง ดิอัตต้า | ผู้เล่น | 2021-01-22 | - |
9 | Myron Boadu | ผู้เล่น | 2021-08-04 | - |
14 | อิสมาอิล ยาคอบส์ | ผู้เล่น | 2021-07-12 | - |
9984 | ฌอง มาร์กเซอแล็ง | ผู้เล่น | 2020-01-30 | - |
4 | Mohamed Camara | ผู้เล่น | 2022-08-14 | - |
11 | ฌอน ลูคัส | ผู้เล่น | 2021-08-02 | - |
- | อาร์ตูร์ ซักร์ | ผู้เล่น | 2019-08-29 | - |
19 | ยูสซูฟ โฟฟาน่า | ผู้เล่น | 2020-01-29 | - |
8464 | Anthony Musaba | ผู้เล่น | 2020-07-01 | - |
34 | Chrislain Matsima | ผู้เล่น | 2020-07-01 | - |
15 | Eliot Matazo | ผู้เล่น | 2020-07-01 | - |
2 | Vanderson | ผู้เล่น | 2022-01-01 | - |
8521 | Felix Lemarechal | ผู้เล่น | 2022-07-01 | - |
50 | Yann Lienard | ผู้เล่น | 2021-07-01 | - |
21 | Maghnes Akliouche | ผู้เล่น | 2022-07-01 | - |
99 | Yllan Okou | ผู้เล่น | - | - |
41 | Soungoutou Magassa | ผู้เล่น | 2021-07-01 | - |
42 | Edan Diop | ผู้เล่น | - | - |
9829 | Eliesse Ben Seghir | ผู้เล่น | - | - |
Tournament | Join | Out |
---|---|---|
League Cup | 2019-08-12 | 2020-07-31 |
Ligue 1 | 2022-08-05 | 2023-06-03 |
Champions League Qualification | 2022-07-04 | 2022-08-24 |
Europa League Grp. H | 2022-09-07 | 2022-11-03 |
Europa League Final Stage | 2023-02-15 | 2023-05-31 |
Coupe de France | 2022-10-14 | 2023-04-29 |
ประวัติ : โมนาโก
เชื่อว่าในยุคนี้สมัยนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสโมสรแห่งนี้แม้ว่าจะเป็นสโมสรขนาดเล็กแต่กลับมีชื่อเสียงโด่งดังมากในวงการฟุตบอลของประเทศฝรั่งเศส ทีมที่มีพื้นเพลงมาจากรัฐที่เป็นเขตุแดนนอกเหนือจากการปกครองของประเทศฝรั่งเศสหรือมีการปกครองเป็นของตัวเองหรือพูดง่ายๆเป็นประเทศเล็กๆที่แยกตัวออกไปจากเขตแดนของฝรั่งเศส แต่สำหรับฟุตบอลที่เป็นกีฬาอันดับหนึ่งที่ผู้คนนิยมชมชอบกันทั่วโลก เอเอส โมนาโก หรือในชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า Association Sportive de Monaco Football Club กลับได้คัดเลือกให้เล่นอยู่ใน ลีกเอิง มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความเป็นมาที่ซับซ้อนของสโมสรแห่งนี้มีที่มาเป็นอย่างไร เราจะพาท่านผู้อ่านไปไขข้อมูลเพื่อนำมาประดับความรู้ไม่มากก็น้อย เดิมทีสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ก่อตั้งมาแล้วมากกว่าเกือบจะ 100 ปี โดยเริ่มการก่อตั้งเป็นสโมสรฟุตบอลจริงๆจังเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 1924 โดยที่ก่อนหน้านั้นสโมสรเคยเป็นสโมสรกีฬามาก่อนจนภายหลังที่ฟุตบอลเริ่มได้รับความสนใจอย่างมาก ทำให้พวกเขาจัดตั้งสโมสรฟุตบอลแยกออกมาโดยใช้ชื่อทีมฟุตบอลในตอนนั้นว่า Monegasque sporting club พวกเขาเริ่มเดินทางจากจุดเล็กด้วยการลงสนามแข่งขันในระดับเกมท้องถิ่นและตามต่อมาได้ลีกในระดับภูมิภาคหรือทีมสมัครเล่นที่เราเรียกกันในปัจจุบัน ในช่วงปี 1920-1933 การปฎิวัติทั้งทางด้านการเมืองการปกครองได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายต่อหลายครั้งเช่นเดียวกับวงการลูกหนังที่มีการปฏิรูปและการจัดตั้งให้มีการแข่งขันในระดับประเทศหรือลีกสูงสุด
เอเอส โมนาโก ได้รับคำเชิญจากสมาคมฟุตบอลของประเทศฝรั่งเศสให้ร่วมลงทัวร์นาเมนต์เกมลีกระดับอาชีพ โดยเริ่มด้วยการลงเล่นอยู่ใน ดิวิชั่น 2 อย่างไรก็ตามในช่วงแรกๆสโมสรไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลยและผลงานที่ทำออกมาก็ไม่ดีจนทำให้ช่วงปีแรกที่เข้ามาพวกเขาต้องคว้าตั๋วกลับลงไปเล่นในระดับภูมิภาคเหมือนเคยจนกระทั่งในปี คศ. 1948 พวกเขาสามารถตีตั๋วเลื่อนชั้นกลับสู่ดิวิชั่น 2 ได้สำเร็จจนแล้วจนเล่าวันที่เหล่าแฟนบอลของ โมนาโก ก็มาถึงพวกเขาเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ได้ในช่วงปี คศ. 1953 การเดินทั้งครั้งต่อมาหลังจากที่พวกเขายกทัพลุยศึกในดิวิชั่น 1 ปีที่พวกเขาได้รับความสำเร็จเกิดขึ้นในปี 1960-1986 ด้วยกันในระหว่างช่วงเวลานั้น การนำทัพของ ลูเชี่ยน เลอดุค สุดยอดกุนซือในตำนานของ โมนาโก ก็ได้โชว์ศักยภาพของการทำงานให้กับแฟนบอลได้เห็นเขาพาทีมเข้าชิงชนะเลิศในรายการ กุป เดอ ฟร็องส์ พร้อมกับคว้าแชมป์มาครองได้และปีต่อมาหลังจากที่คว้ารางวัลบอลถ้วยไปแล้วเขาก็พาทีมมาประสบความสำเร็จในรายการฟุตบอล เฟร้นช์ แชมเปี้ยนส์ชิพ ซึ่งถือว่าเป็นเกมลีกสูงสุดของประเทศฝรั่งเศสในตอนนั้นและนับว่าเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของสโมสรที่ได้แชมป์ลีกมาครอง พร้อมกับพวกเขายังได้ตั๋วโควต้าไปลุยในศึกฟุตบอลยุโรปอีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผลงานที่เกิดขึ้นกลับ โมนาโก มาจากทัวร์นาเมนต์ในประเทศทั้งนั้นพวกเขาไม่เคยได้รางวัลในระดับทวีปยุโรปเลยตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา
ในปี 1963 ความยากลำบากของทีมก็เริ่มมาเยือนเมื่อกุนซือคนเก่งอย่าง ลูเชี่ยน เลอดุค ตัดสินใจอำลาทีมไป ทำให้เป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของ โมนาโก ที่ต้องติดอยู่ในวังเวียนของโซนอันตรายหนีตายอยู่ท้ายตารางจนในที่สุดพวกเขาก็ต้องตกชั้นลงไปอยู่ในดิวิชั่น 2 ตามระเบียบแต่ก็เป็นการสลับขึ้นสลับลงอยู่เป็นประจำสโมรไม่มีความมั่นคงอะไรหลงเหลือเลย จนแล้วจนเล่าปี คศ.1975 การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ จีน ลุยห์ คัมโพร่า ลูกชายของอดีตประธานสโมสร ชาร์ลส์ คัมโพร่า เข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานสโมสรคนใหม่ เจ้าตัวได้ใช้อำนาจในมือดึงตัว ลูเชี่ยน เลอดุค กลับเข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมอีกครั้ง โดยการกลับมาของ ลูเชี่ยน ในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้แฟนบอลของเขาตั้งผิดหวังหลังจากนั้นไม่นาน โมนาโก ก็เลื่อนชั้นกลับสู่ดิวิชั่น 1 อย่างที่ตั้งใจและยังพาสโมสรคว้าแชมป์รายการ ฝรั่งเศส แชมป์เปี้ยนชิพ ได้อีกสมัยในช่วงปี 1978 ทันทีที่พาสโมสรคว้าแชมป์ได้ เลอดุค ก็อำลาสโมสรไปเป็นครั้งที่สองหลังจากปีที่ได้แชมป์มาครอง และปัญหาที่เป็นผลกระทบตามมาก็เกิดขึ้นอย่างที่ทุกคนคิดไว้การเข้ามารับตำแหน่งของกุนซือใหม่อย่าง ลูเชี่ยน มูเลอ และ เจอร์ราร์ด แบร์ไน ไม่ทำให้สโมสรอยู่ในจุดที่มั่นคงได้จนทำให้ทีมกลับไปอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่อีกครั้งแต่แล้วไม่นานด้วยโครงสร้างของทีมที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์อยู่แล้ว พวกเขาเริ่มกลับมาท็อปฟอร์มได้ในช่วงทศวรรษที่ 80 ซึ่งเป็นยุคที่พวกเขาสร้างชื่อให้กับประเทศ โมนาโก อย่างมา โดยมีทั้งการคว้าแชมป์ กุป เดอ ฟร็องส์ ในปี 1980 กับ 1985 และได้แชมป์รายการ เฟร้นช์ แชมป์เปี้ยนชิพ ในปี 1982 ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรคือการเอาชนะยอดทีมจากฝรั่งเศสอย่าง บอร์กโดซ์ ไปได้ถึง 9 ประตูต่อ 0
ในช่วงหลังจากยุคทองของ โมนาโก ผ่านมาได้ ไม่นานการเปลี่ยนหน้าผู้จัดการทีมก็เกิดขึ้นในอีกครั้งการได้กุนซืออย่าง สเตฟาน โควัคส์ ผู้คิดค้นริเริ่มการเล่นไสตล์โททอลฟุตบอลในลีกฮอลแลนด์มาทำรับตำแหน่งในปี 1986 โดยก่อนหน้านี้ โควัคส์ ตัดสินใจอำลาวงการฟุตบอลไปนานร่วม 3 ปี ก่อนจะกลับมามีชื่อและตำแหน่งผู้จัดการทีมให้กับ โมนาโก แต่ว่าการเข้ามาของเขาไม่ได้สร้างความสำเร็จใดใดให้กับทีมได้เลยซ้ำหนักยิ่งทำให้ทีมต้องตกต่ำอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นสโมสรได้ตัดสินใจคว้าตัว อาเซน เวงเกอร์ ผู้จัดการทีมโนเนมในอดีตที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรแต่ในปัจจุบันกลับเป็นกุนซือระดับตำนานที่ทั้งโลกยังไม่เคยมีใครทำได้เหมือนกับเขานั้นคือการพาสุดยอดทีมฟุตบอลในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษอย่าง อาร์เซน่อล เป็นแชมป์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แบบไร้พ่ายตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลทำให้ อาร์เซน่อล ได้รับเป็นถ้วยแชปม์พรีเมียร์ลีกที่เป็นสีทองซึ่งเป็นสโมสรเดียวที่เคยทำได้และยังไม่มีสโมสรไหนทำลายสถิตินี้ลงได้เลย การเข้ามาของ อาเซน เวงเกอร์ ช่วยทำให้สโมสรกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเขาสร้างสรรค์การวิธีการเล่นให้ทีมอย่างน่าประทับใจรวมไปถึงการทำนโยบายให้กับสโมสรโดยการปลุกปลั้นนักเตะจากชุดเยาวชนขึ้นมาเป็นนักเตะตัวหลักให้กับทีมนอกจากนั้น เวงเกอร์ ยังได้สร้างชื่อให้กับนักเตะในตำนานอย่าง เธียร์รี่ อองรี, มานูเอล เปอร์ตี และ ลิลิยอง ตูราม เหล่าบรรดากองทัพตราไก่ ชุดแชมป์โลกปี 1998 ก็ล้วนแล้วมาจากการปลุกปลั้นของกุนซือรายนี้ทั้งนั้น ในปีแรกที่เขาเข้ามาทำหน้าที่ให้กับทีมได้พาทีมเป็นแชมป์ลีกปีแรกตั้งแต่เข้ามานอกจากนั้นยังพาทีมมาได้รางวัลบอลถ้วยอย่าง กุป เดอ ฟร็องส์ ในปี1991 แถมยังได้ผ่านเข้าไปลุ้นบอลถ้วยยุโรปอยู่หลายๆต่อหลายครั้ง
จนกระทั่งภายหลังในช่วงฤดูกาล 1994 เกิดปัญหาขึ้นภายในลีก เวงเกอร์ มองว่าสมาคมฟุตบอลมีการเอื้อเฟื้อประโยชน์ให้กับทีมร่วมลีกอย่าง โอลิมปิก มาร์กเซย มากเกินไปจนไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังจากนั้นไม่นานหลังจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่หลายเดือนต่อมากุนซือเลือดน้ำหอมก็ตัดสินใจลาออกจากทีม โมนาโก ในที่สุด ต่อมาหลังการเดินทางที่น่าจะเป็นยุคทองที่สุดของโมนาโกได้จบลงการเข้ามาทำหน้าที่ของ ติกาน่า กุนซือคนใหม่ยังคงสามารถพาสโมสรประสบความสำเร็จได้อยู่ 2 ปีหลังจากที่ เวงเกอร์ จากไป โมนาโก ยังคงได้แชมป์รายการ เฟร้นช์แชมป์เปี้ยนชิพ มาครองอีก 2 สมัย หนึ่งครั้งมาจากการทำทีมของ ติกาน่า ในปี 1997 และอีกครั้งในปี 2000 ซึ่งเป็นยุคของ โคล้ด ปูแอล กุนซือใหม่อีกรายที่เข้ามารับช่วงต่อ หลังจากนั้นเหตุการณ์สุดแสนจะย่ำแย่ที่มากๆก็คือการที่พวกเขาต้องล่วงตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 เพราะปัญหาเรื่องสภายคล่องทางการเงินและถูกสั่งแบบไม่ให้ช็อปนักเตะอีกด้วย ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงปี 2003 หลังจากนั้นไม่นาน ประธานของสโมสรอย่าง จีน ลุยห์ คัพโพร่า ที่อยู่กับสโมสรมานานร่วม 28 ปี ก็ตัดสินใจอำลาเนื่องจากปัญหาทางด้านการเงิน ตามมาด้วยการเข้าควบกิจการของนาย ปีแอร์ เซียร่า เข้ามารับตำแหน่งต่อโดยที่เจ้าตัวไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้เลย แต่แม้ว่าทีมจะเจอกับปัญหารุมเร้าอย่างหนักแต่ก็ยังมีความสำเร็จเกิดขึ้นในช่วงนั้น ซึ่งเป็นยุคที่ ดิดิเย่ร์ เดอช็องส์ อดีตนักเตะชื่อดังของฝรั่งเศสเข้ามาคุมทีมนำทัพนักเตะอย่าง เฟอร์นานโด มอริเอนเตส , ลูโอวิด จิโอลี และ เจอโรม โรเธน เป็นต้น เขาพาทีมจบในอันดับ 3 ของ ดิวิชั่น 1 มาได้พร้อมกับผ่านเข้ารอบไปชิงชนะเลิศในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ก็ไม่ได้รางวัลแชมป์มาครองหลังจากนั้นไม่นาน เดอ ช็องส์ ก็ลาออกกจากทีมไป รวมไปถึงประธานสโมสรคนเก่าที่เข้ามาได้ไม่นานอย่าง เซียร่า ก็ถูกเปลี่ยนใหม่มาเป็น มิเชล ปาสตอร์ หลังจากนั้นเหตุการณ์ของ โมนาโก ปั่นป่วยไม่หยุดหย่อนมีการเปลี่ยนถ่ายกุนซือใหม่เป็นว่าเล่นรวมไปถึงชุดนักเตะที่เริ่มขาดแคลนเพราะปัญหาทางด้านของการเงินจนทำให้ทีมตกชั้นเลื่อนชั้นสลับกันมาเรื่อยๆและก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไร
ในช่วงยุค 2013 มหาเศรษฐี ชาวรัสเซีย ที่เข้ามาซื้อหุ้นสโมสรเกินครึ่งก็ได้บูรณะทีมยกใหญ่ ในขณะที่ตอนนั้นสโมสรยังคงไต่เต้าอยู่ในดิวิชั่น 2 ของฝรั่งเศส โดยการนำทีมโดยกุนซือที่เคยร่วมงานกับ โมนาโก มาแล้วในอดีตอย่าง แบร์ไน เขาพาทีมออกสตาร์ทในการเข้ามาทำงานได้ไม่ดีจนสุดท้ายก็ถูกแทนที่โดย มาร์โก้ ซิโมเน่ กุนซือเลือดมักกะโรนีที่เข้ามาทำหน้าที่โดยการทำให้ทีมกลับมาอยู่ในอันดับกลางตารางได้โดยจบอันดับ 8 ของลีกแต่ก็ไม่ได้เป็นที่พอใจของเศรษฐีชาวรัสเซียที่ถือหุ้นสูงสุดของสโมสรเอาไว้ เขาจึงได้ตั้งเป้าคว้านายใหญ่คนใหม่เข้ามาคุมทีม โดยหวยไปออกที่ คราดิโอ รานิเอรี่ ที่เข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมคนต่อมาและเขาก็ได้พา เอเอส โมนาโก ทะยานกลับสู่ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จในปี 2013 หลังจากที่เลื่อนชั้นกลับขึ้นมาสโมสรก็อัดฉีดด้วยการทุ่มเงินกว่า 140 ล้านปอนด์ในการซื้อตัวนักเตะเข้าทีม ทำให้ โมนาโก เป็นทีมที่ใช้เงินช็อปนักเตะมากที่สุดในปีนั้น ส่วนดีลใหญ่ๆที่พวกเขาได้มาคือการคว้า ราดาเมล ฟัลเกา มาจากสโมสร แอตเลติโก้ มาดริด ด้วยค่าตัว 50 ล้านปอนด์และ เจมส์ โรดิเกวซ จากสโมสรฟุตบอล เอฟซี ปอร์โต้ ด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ ทีมประสบความสำเร็จด้วยการเป็นรองแชมป์ลีกเอิง ต่อมามีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมอีกครั้งเป็น ลีโอนาร์โด้ ยาร์ดิม และเหมือนว่าการเข้ามาของ ยาร์ดิม ก็เริ่มทำให้สโมสรกลับมามีกำไรให้กับสโมสรได้มากกว่าเดิม เขาปล่อยตัวนักเตะอย่าง เจมส์ โรดิเกวซ ไปให้กับสโมสรชื่อดังใน ลาลีก้า สเปน อย่าง เรอัล มาดริด ไปด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ เท่ากับว่าได้กำไรกลับมาเกือบเท่าตัว และยังปล่อย ฟัลเกา ให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืมตัวไปอีกด้วย ถึงจะขาดสองแข็งหลักๆไป แต่สโมสรก็ยังสามารถครองอันดับ 3 ของตารางเอาไว้ได้และตีตั๋วผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลรายการใหญ่ของยุโรป และเส้นทางในศึกยูฟ่าพวกเขาสามารถผ่านเข้าไปได้ถึงรอบรองชนะเลิศ หลังจากนั้น โมนาโก ก็กลายเป็นธนาคารนักเตะดาวรุ่งที่ปลุกปลั้นจนฝีเท้าฉกาจและปล่อยขายให้กับทีมในยุโรป อย่าง เช่น อองโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ขายไปให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์
ในปีที่พวกเขาผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศยูฟ่า มีการปล่อยสตาร์นักเตะในทีมออกไปมากจนได้กำไรกลับมามากถึง 180 ล้านปอนด์ จนกระทั่ง โมนาโก กลับมาคว้าแชมป์ ลีกเอิง ฝรั่งเศส ทิ้งทวนครั้งล่าสุดในปี 2017 ซึ่งนับย้อนกลับไปก็ 17 ปีจากการห่างหายไปในการเป็นแชมป์ลีกสูงสุด ในยุคนั้นเป็นยุคที่นักเตะดาวรุ่งชื่อดังอย่าง คีลียัน เอ็มบัปเป้ กำลังเฉิดฉายใน ลีกเอิง ฝรั่งเศส ในปีที่ได้แชมป์ร่วมกับ โมนาโก เจ้าตัวซัดไปคนเดียวในลีกถึง 30 ประตู นับเป็นสถิตินักเตะอายุน้อยที่ทำประตูมากที่สุดในลีกเอิงฝรั่งเศส ต่อมาหลังจากจบฤดูกาล ทีมเงินถุงเงินถังอย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก็ทุ่มเงินถึง 180 ล้านปอนด์ เพื่อขอซื้อกองหน้าดาวรุ่งมาร่วมทีม สุดท้าย โมนาโก ก็ยอมขาย เอ็มบัปเป้ ไปในที่สุด และยังขายนักเตะชื่อดังอีกหลายๆคนเรียกได้ว่าแหล่งเพชรชั้นดีอยู่ที่ โมนาโก ทั้งนั้นเลย อาทิ แบร์นาโด้ ซิลวา ตีมัวร์ บากาโยโก้ เบนจามิน เมนดี้ ฟาบินโญ่ นักเตะเหล่านี้ถูกขายให้กับสโมสรใหญ่ในยุโรปโดยเฉพาะสโมสรทาง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างไรก็ดีในปี 2018-19 สโมสรแต่งตั้งกุนซือคนใหม่เข้ามาโดยไปคว้า เธียร์รี่ อองรี อดีตแข้งระดับโลกของวงการฟุตบอลและยังเป็นผู้จัดการทีมป้ายแดงที่พึ่งจะรับงานเป็นผู้จัดการทีมครั้งแรกอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นผลงานของ โมนาโก กลับล่วงเอาล่วงเอาในปี 2018-19 พวกเขากระท่อนกระแท่นจนเกือบตกชั้นแต่สุดท้ายก็ยังอยู่รอดปลอดภัยอยู่ในลีกสูงสุดของฝรั่งเศสมาจนถึงฤดูกาล 2019-20 ซึ่งกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด โมนาโก เกาะอยู่อันดับที่ 9 ในตารางลงแข่งไปแล้ว 28 นัดมี 40 คะแนนเท่ากับทีมอันดับ 7 และ 8 แต่ลูกได้เสียน้อยกว่า สรุปความสำเร็จที่ผ่านมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันของ โมนาโก ( Updated : 15-4-2020 )